The Journey of Thousand Years
การเดินทางผ่านประวัติศาสตร์
ต้นกำเนิดของสุคนธบำบัด (Aromatherapy) มีประวัติการเริ่มนำพืชมาใช้ประโยชน์มากกว่าหกพันปี ตั้งแต่ยุคสมัยอียิปต์โบราณที่นำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ในการเก็บรักษาสภาพศพมัมมี่ (น้ำมันหอมระเหย Myrrh และ Juniper) และการใช้เพื่อบูชาเทพเจ้า มนุษย์ได้ทำการจดบันทึกการใช้งานน้ำมันจากพืชเพื่อการรักษาและความงามมาอย่างยาวนาน อาทิ ขี้ผึ้ง และ กำยาน ต่างก็ทำมาจากพืช และเป็นที่รู้กันดีว่ามีสรรพคุณในการรักษามาตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ทั้งนี้แพทย์ในสมัยโบราณเปรียบการรักษาจากพืชธรรมชาติเป็นศาสตร์ชั้นสูง จากที่เริ่มแรกใช้พืชเพียงการรักษาร่างกาย ต่อมาภายหลังได้นำมาทำน้ำหอมเพื่อความงามตลอดจนนำมาใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อการยกระดับจิตวิญญาณ
อียิปต์โบราณและบาบิโลน
น้ำหอมชนิดแรกของอียิปต์ คือ กำยาน ที่ใช้ในพิธีการเพื่อบูชาเทพเจ้าและในเหตุการณ์สำคัญ เช่น พิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ฟาโรห์ และการเฉลิมฉลองแห่งชาติ มีการนำกำยานมาจุดเป็นประจำในวัดอียิปต์โบราณ และจุดกลางแจ้งในเวลารุ่งสาง ทั้งยังถูกนำมาใช้ในทางเวทมนตร์และการรักษา มีความเชื่อกันว่ากลิ่นหอมของกำยานจะช่วยทำให้เทพเจ้าพึงพอใจและนำมาซึ่งความโชคดี นักบุญในช่วงตอนต้นของอียิปต์ทำการสกัดน้ำมันหอมระเหยจากดอกไม้ มีเครื่องสำอางชนิดแรกที่ทำมา จากเรซินหรือยางไม้ เช่น Myrrh, Frankincense, Lilies, Pine, Cedarwood, Gum mastic และถูกเก็บรักษาในแก้วที่ตกแต่งด้วยทอง ปัจจุบันอียิปต์ยังคงเป็นผู้นำในการผลิตน้ำมันหอมระเหยเช่น Rose, Neroli, Violet leaf, Geranium, Petitgrain, Basil, Marjoram, Anise และ Parsley seed

กรีกโบราณ
ชาวกรีกศึกษาเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยจากอียิปต์ โดยมีวัฒนธรรมและการสร้างสรรค์มายาวนานกว่า 2,600 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวกรีกได้จัดแบ่งต้นกำเนิดของพืชที่ให้กลิ่นหอมตามเทพเจ้า ขณะที่ Hippocrates บิดาแห่งแพทย์สมัยใหม่ได้นำยารักษาจากธรรมชาติกว่าสี่ร้อยชนิดมาใช้ และยังเป็นผู้ที่ช่วยให้เอเธนส์รอดพ้นจากโรคห่าด้วยการจุดลูกบอลที่สร้างจากไม้หอมไว้ตามถนน

โรมโบราณ
ได้ใช้กลิ่นหอมเพื่อความบันเทิง มีการนำไปสร้างผสมในกำแพงของโรงอาบน้ำขนาดใหญ่ Pliny ซึ่งเป็นนักเขียนเกี่ยวกับพืชชื่อดังของโรมได้เขียนบรรยายว่ากลิ่นหอมนั้นสามารถช่วยให้หลับสบาย คลายเครียด และทำให้ผินดี มีน้ำหอมสองชื่อด้วยกันที่ถูกบันทึกไว้ ชื่อแรก คือ Mendes และ The Latter นอกจากนี้เขายังได้บันทึกเกี่ยวกับการใช้ดอกไม้ในการฆาตกรรมผู้คน ด้วยการโปรยกลีบดอกกุหลาบเพื่อให้แขกที่มาในงานเลี้ยงสูดดมจนกระทั่งเสียชีวิต

ประเทศจีน
มีหลักฐานการบันทึกการใช้น้ำมันหอมระเหยในการรักษาโรคมากกว่า 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช น้ำมันหอมระเหยที่มีถิ่นฐานอยู่ในประเทศจีนได้แก่ Cassia, Star anise, Angelica, Camphor, Ginger รวมไปถึงต้นไม้ตระกูล Citrus ซึ่งในหลักฐานการจดบันทึกของจีน ได้กล่าวถึง Shi-Che เทพธิดาแห่งน้ำหอมและอธิบายถึงวิธีการใช้กลิ่นเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น ในช่วงเวลาหนึ่งธนบัตรของประเทศจีนถูกพิมพ์ลงบนผ้าไหมและมีกลิ่นหอม

อินเดีย
มีความเชื่อกันว่าน้ำหอมเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณและได้มีการใช้น้ำมันหอมระเหยในศาสตร์การแพทย์ด้านอายุรเวทศาสตร์มามากกว่า 4,000 ปี อีกทั้งการรักษาแนวธรรมชาติและทำสมาธิยังป้องกันโรครวมทั้งเสริมสุขภาพให้ยืนยาว ในกลุ่มภาษาอินโด-อารยัน คำว่า Attar ซึ่งล้วนเป็นคำที่ใช้อธิบายเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยถูกใช้มานานกว่าพันปีในอินเดีย

ยุโรป
ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นประเทศที่มีประวัติเกี่ยวกับความหอมมาช้านาน ภาพวาดภายในถ้ำใน Lascaux แสดงให้เห็นถึงการนำพืชมาใช้ในการรักษา ทั้งนี้การจำหน่ายน้ำหอมในปารีสมีมาตั้งแต่สมัยช่วงต้นปีคริสต์ศักราช 1190 ครอบครัว The Medici ในอิตาลีก็เป็นที่รู้จักดีในเรื่องแหวนอาบยาพิษและถุงมือน้ำหอม กษัตริย์นโปเลียนก็เป็นที่โด่งดังในเรื่องการใช้เครื่องหอมเพื่อสร้างความมั่นใจแก่เหล่าพลทหารในการสู้รบกับข้าศึก
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ประเทศเยอรมนีได้พัฒนาการกลั่นน้ำมันหอมระเหย มีการผลิตเพื่อการค้าและนำมาใช้เพื่อการรักษาโรค โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการนำน้ำมันหอมระเหยมารักษาบาดแผลผู้ป่วยตลอดจนการฆ่าเชื้อโรค

ในประเทศออสเตรเลีย
ชาวกรีกศึกษาเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยจากอียิปต์ โดยมีวัฒนธรรมและการสร้างสรรค์มายาวนานกว่า 2,600 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวกรีกได้จัดแบ่งต้นกำเนิดของพืชที่ให้กลิ่นหอมตามเทพเจ้า ขณะที่ Hippocrates บิดาแห่งแพทย์สมัยใหม่ได้นำยารักษาจากธรรมชาติกว่าสี่ร้อยชนิดมาใช้ และยังเป็นผู้ที่ช่วยให้เอเธนส์รอดพ้นจากโรคห่าด้วยการจุดลูกบอลที่สร้างจากไม้หอมไว้ตามถนน